|
Beauty & Variety Tips
|
|
เมล็ดรุทรักษะ เมล็ดน้ำตาพระศิวะ
[18 มกราคม 2558 16:59 น.]จำนวนผู้เข้าชม 7425 คน |
|
เมล็ดรุทรักษะ เมล็ดน้ำตาพระศิวะ
ในครั้งหนึ่ง องค์มหาอุมาเทวี ได้ทูลถามองค์ พระศิวะ ถึงความสำคัญของเมล็ด รุทรักษะ ซึ่งองค์พระศิวะและเหล่าคณะปติ คณะบริวารของศิวะได้ใช้ประดับสวมใส่อยู่
และได้รับทราบถึงคำตอบว่า ในครั้งหนึ่งของการทำสมาธิอันยิ่งใหญ่ ในการเปิดโลกญาณขององค์พระศิวะ เมื่อพระศิวะได้ทรงเห็นความทุกข์ยากลำบากใน การดำรงชีวิตของเหล่ามนุษย์บนโลก ด้วยความเวทนาในชะตากรรม น้ำพระอัสสุชล (น้ำตา) ของพระศิวะจึงได้หยดลงมาบนพื้นโลก ก็ได้บังเกิดเป็นต้นไม้ขึ้น พระศิวะจึงได้อำนวยพรให้กับต้นไม้ที่กำเนิดนั้น โดยให้ถือว่าเป็นต้นไม้มงคล และตั้งชื่อให้ว่า ต้นรุทรักษะ และอำนวยพรให้แก่มนุษย์ที่ได้นำเมล็ดรุทรักษะไปประดับ หรือสวมใส่ด้วยความเคารพรักและสวดบูชาอยู่เป็นนิจเมล็ดรุทรักษะ เมล็ดน้ำตาพระศิวะ
ในครั้งหนึ่ง องค์มหาอุมาเทวี ได้ทูลถามองค์ พระศิวะ ถึงความสำคัญของเมล็ด รุทรักษะ ซึ่งองค์พระศิวะและเหล่าคณะปติ คณะบริวารของศิวะได้ใช้ประดับสวมใส่อยู่
และได้รับทราบถึงคำตอบว่า ในครั้งหนึ่งของการทำสมาธิอันยิ่งใหญ่ ในการเปิดโลกญาณขององค์พระศิวะ เมื่อพระศิวะได้ทรงเห็นความทุกข์ยากลำบากใน การดำรงชีวิตของเหล่ามนุษย์บนโลก ด้วยความเวทนาในชะตากรรม น้ำพระอัสสุชล (น้ำตา) ของพระศิวะจึงได้หยดลงมาบนพื้นโลก ก็ได้บังเกิดเป็นต้นไม้ขึ้น พระศิวะจึงได้อำนวยพรให้กับต้นไม้ที่กำเนิดนั้น โดยให้ถือว่าเป็นต้นไม้มงคล และตั้งชื่อให้ว่า ต้นรุทรักษะ และอำนวยพรให้แก่มนุษย์ที่ได้นำเมล็ดรุทรักษะไปประดับ หรือสวมใส่ด้วยความเคารพรักและสวดบูชาอยู่เป็นนิจ
เมล็ดรุทรักษะ หรือ น้ำตาพระศิวะ นี้ เป็นเมล็ดผลไม้ที่ทรงโปรดแห่งพระศิวะเทพ เป็นสิ่งที่นำความศักดิ์สิทธิ์ ขับไล่บาปทั้งหมดได้ด้วยการได้เห็น ได้สัมผัส และได้ท่องสวด (ลูกประคำ)
จากหยดน้ำตาที่ไหลออกมา ได้เกิดเป็นต้นรุทรักษะขึ้น และได้ออกลูกมาเป็นจำนวนมาก ต้นรุทรักษะเหล่านี้ได้เจริญในดินแดน เกาฑะ, มธุรา, ลังกา, อโยธยา, มาลัย, ภูเขา, สหยะ, แคว้นกาศี และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ มันสามารถจะทำลายบาปให้หมดไปได้
สีสรรต่างๆ แห่งเมล็ดรุทรักษะนั้นมีอยู่ 4 สี คือ สีขาว สีแดง สีเหลือง และสีดำ ผู้ที่บูชาพระศิวะ จะต้องเลือกสวมใส่เมล็ดรุทรักษะตามวรรณะที่ตนอยู่
เมล็ดรุทรักษะ อันมีขนาดเท่า ลูกสมอ นับว่าเป็นขนาดที่วิเศษที่สุด แม้ว่าเมล็ดจะมีขนาดเล็กเท่าเมล็ดพุทรา ก็จะได้รับประโยชน์และมีความผาสุกอันยิ่งใหญ่ ไม่มีสร้อยคออื่น หรือพวงมาลัยอื่นใด ที่จะนำความเป็นศิริมงคลและให้ความสำเร็จสมประสงค์ทุกอย่าง เท่ากับการได้สวมใส่เมล็ดรุทรักษะ จะต้องสวมใส่เมล็ดผลไม้นี้ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย คือจะต้องร้อยเมล็ดรุทรักษะ 6 เมล็ด เมล็ดไว้บนหูแทนต่างหูทั้งสองข้าง จำนวน 101 เมล็ดจะร้อยใช้แทนสร้อยคอ จำนวน 11 เมล็ดจะสวมไว้รอบแขนที่ซ้ายและขวา , ที่ข้อศอกและที่บั่นเอว ผู้บูชาต่อพระศิวะเทพจะต้องร้อยรุทรักษะสวมเมล็ด กับด้ายสายสิญจน์ของเขา
กฎแห่งพระเวทย์การสวมใส่เมล็ดรุทรักษะในแต่ละวรรณะ
ตามกฎแห่งพระเวทย์ที่ได้รับวางไว้ คือ
สีขาว สำหรับ วรรณะพราหมณ์ (ชั้นนักบวช ผู้สั่งสอน)
สีแดง สำหรับ วรรณะกษัตริย์ (ชั้นการปกครอง บ้านเมือง)
สีเหลือง สำหรับ วรรณะแพศย์ (ชั้นนักค้าขาย ทั่วๆไป)
สีดำ สำหรับ วรรณะศูทร (ชั้นแรงงาน)
ประชากรแห่งวรรณะทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นหญิงชาย ก็สามารถสวมใส่เมล็ดรุทรักษะได้ตามบัญชาของพระศิวะเทพ คนเหล่านั้นที่ได้สวมใส่เมล็ดรุทรักษะ กระทำการบูชาต่อพระศิวะและประพฤติดีตลอดชีวิต จะไม่ตกสู่นรกแห่งพระยมราชเลย
พระยมราช ได้มีบัญชาต่อบริวารฑูตของพระองค์ว่า "มนุษย์ผู้ใดที่สวมใส่เมล็ดรุทรักษะ แม้เพียงเมล็ดเดียวไว้บนศีรษะแล้ว มีการเขียน ตริปุนทรไว้บนหน้าผากและมีการท่องสวมมนต์ 5 พยางค์แล้วจะต้องทำความความเคารพต่อเขาทันที เขาเหล่านี้เป็นบริวารแห่งพระศิวะเทพ และไม่จับกุมหรือทรมานแต่อย่างใด
ตราบนานเท่านานที่สวมใส่เมล็ดรุทรักษะ มนุษย์ผู้นั้นจะมีจิตวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นที่โปรดปรานแห่งเทพเจ้าทั้ง 5 พระองค์ (พระอาทิตย์, พระคเนศ, พระแม่ทรุคา, พระรุทระ และพระวิษณุเทพ) และเป็นที่ชอบพอรักใคร่ของเทพทั้งมวลด้วย"
คุณสมบัติเมล็ดรุทรักษะ
1. ผู้ที่สวมใส่รุทรักษะ จะไม่มีไสยเวทย์ ภูตผี วิญญาณร้าย มารบกวน หรือรังควาญ
2. ผู้ที่สวมใส่รุทรักษะ เมื่อเสียชีวิตลงในขณะที่สวมใส่รุทรักษะจะไม่ต้องได้รับการคร่ากุม หรือจับกุมโดยยมทูต เพื่อไปรับโทษในนรก
3. ผู้ที่สวมใส่รุทรักษะ จะทำให้มีเรื่องเสียใจหรือเศร้าหมองน้อยลง เสียน้ำตาน้อยลง และหากเมล็ดรุทรักษะยิ่งมีขนาดเล็กลงเท่าใด ก็จะยิ่งจะทำให้เสียน้ำตาน้อยลงเท่านั้น
4. ผู้ที่สวมใส่รุทรักษะ จะสามารถรักษาสุขภาพ ให้ดีและแข็งแรงได้ เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคที่ ทางการแพทย์ไม่สามารถรักษาให้หายเด็ดขาดหรือให้ข้อสรุปที่ชัดเจนได้
ลักษณะของรุทรักษะ
รุทรักษะ มีหลายลักษณะ หรือเรียกว่า หลายหน้า ถ้าจะอธิบายง่ายๆก็คือ บนผิวเมล็ดที่มีลักษณะกลมนั้นมีเส้นแบ่งเมล็ดออกเป็นกี่ส่วน ซึ่งแต่ละลักษณะนั้นตามตำนานและความเชื่อของผู้คนจากอารยะธรรมทางอินเดียตอนเหนือ เนปาล ภูฎาน ธิเบต จากข้อมูลหนังสือ The Mystic Seed ของ K.T. Shubhakaran สรุปได้ดังนี้
1. หนึ่งหน้า เชื่อว่าเป็นมารดาแห่งเมล็ดรุทรักษะทั้งปวง นำมาซึ่งความสุขและการปกป้องจากบรรดาอันตรายทั้งปวง พระลักษมีจะคอยปกป้องผู้ที่บูชารุทรักษะหนึ่งหน้านี้ และทำลายล้างความชั่วร้ายทั้งปวง
2. สองหน้า เชื่อว่าเป็นตัวแทนของพระศิวะ ช่วยเพิ่มพลังสมาธิให้ผู้สวมใส่และเกิดสมาธิได้เร็ว
3. สามหน้า เชื่อว่าเป็นตัวแทนของเทพอัคนี และใช้เพื่อป้องกันโชคร้ายต่างๆ ปลอดจากโรคภัย ปกป้องผู้สวมใส่จากอาวุธ แคล้วคลาด นำมาซึ่งทรัพย์ เงินทอง
4. สี่หน้า เชื่อว่าเป็นตัวแทนแห่งพระพรหม ช่วยชำระจิตรใจให้บริสุทธิ์ ก่อให้เกิดปัญญา
5. ห้าหน้า เชื่อว่าเทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้าจะประทานพรและความสำเร็จในชีวิตให้แก่ผู้สวมใส่ ขจัดโรคภัย อีกทั้งยังเชื่อกันว่าหากสวมใส่ สามเมล็ดจะนำมาซึ่งกำไรทางการค้า ธุรกิจ และความมั่งคั่ง
6. หกหน้า เชื่อว่าเป็นตัวแทนของพระ Kartikeya ซึ่งเป็นพระอนุชาของพระพิฆเนศ ผู้ชายใส่มือขวา ผู้หญิงใส่มือซ้าย ช่วยปกป้องนานาประการ
7. เจ็ดหน้า เชื่อว่าเป็นตัวแทนของ Sapta Rishis ช่วยให้ผู้สวมใส่ได้รับโชคทรัพย์สิน ความนับถือ และความมีอำนาจ ผู้คนยำเกรง
8. แปดหน้า เชื่อว่าเป็นตัวแทนของพระพิฆเนศ ผู้สวมใส่จะได้รับความสำเร็จ ชีวิตราบรื่น และความมีสติปัญญา
9. เก้าหน้า เชื่อว่าเป็นตัวแทนเทพทั้งสามคือ Bhairava Yama และ Kapil Muni นิยมสวมใส่มือซ้ายเพื่อความก้าวหน้า และความสำเร็จ
10. สิบหน้า เชื่อว่าเป็นตัวแทนของเทพพระวิษณุ ปกป้องผู้สวมใส่จากอิทธิพลของความชั่วร้ายทั้งปวง
11. สิบเอ็ดหน้า เชื่อว่าเป็นตัวแทนของพระอินทร์ นำมาซึ่งความมั่งคั่ง ทรัพย์สินเพิ่มพูนอย่างรวดเร็ว
12. สิบสองหน้า เชื่อว่าเป็นตัวแทนของเทพพระวิษณุ พระอาทิตย์จะคอยคุ้มครองผู้สวมใส่ให้ได้ความมั่งคั่งทั้งปวงและความราบรื่นของชีวิต
13. สิบสามหน้า เชื่อว่าผู้สวมใส่จะได้รับความสำเร็จในชีวิต และได้รับโชคดีตลอดเวลา ปราศจากทุกข์ต่างๆ
14. สิบสี่หน้า เชื่อว่าเป็นตัวแทนของพระศิวะและเทพหนุมาน ช่วยรักษาโรคและความทุกข์ต่างๆ
เมล็ดรุทรักษะเชื่อว่าจะเพิ่มพลังงานให้แก่ผู้สวมใส่ และส่งพลังแม่เหล็กไฟฟ้าด้วย ซึ่งจะส่งผลให้ร่างกายผ่อนคลาย ปรับระดับการทำงานของร่างกายให้สมดุล จิตรใจผ่อนคลายและเกิดสมาธิได้ง่าย ทางอินเดียตอนเหนือใช้ร่วมกับการรักษาโรคให้แก่ผู้ป่วยด้วย
|
|
| |