"โอม" เป็นคำศักดิ์สิทธิ์ในศาสนฮินดู แต่รู้รึเปล่าว่าคำนี้มีพลังและมีความหมายมากกว่านั้น
ตามความเชื่อของฮินดู "โอม" มาจากตัวอักษร 3 ตัวประกอบกันนั่นก็คือ
อะ - อุ - มะ
ซึ่งหมายความถึงพระนามของมหาเทพสูงสุด3 พระองค์คือ
อะ คือ พระศิวะ
อุ คือ พระวิษณุ
มะ คือ พระพรหม
มาถึงตรงนี้แล้วสงสัยมะ ว่าจากชื่อแล้วย่อยังไงถึงเป็น 3 คำนี้ได้
ได้สิ! เพราะมาจากพยางค์ท้ายขอชื่อน่ะเอง
พระ(ศิว)อะ พระ(วิษณ)อุ และ (พระพรห)มะ
ในทางพุทธ
สมเด็จพระจอมเกล้าฯ รัชกาลที่ 4 ทรงดัดแปลงคติเรื่องโอม จากของฮินดูมาเป็นพุทธ โดยทรงอธิบายว่า
อะ มาจาก อรหํ (พระอรหันต์) หมายถึงพระพุทธเจ้า
อุ. มาจาก อุตฺตมธมฺม (ธรรมสูงสุด) หมายถึง พระธรรม
ม. มาจาก มหาสงฺฆ (สงฆ์หมู่ใหญ่) หมายถึงพระสงฆ์
รวมแล้วเป็นพระรัตนตรัยนั่นเอง
พอ~......เรื่องศาสนาดีกว่า ลองมามองแบบวิทยาศาสตร์บ้าง
อันนี้มันเกี่ยวเนื่องกับเรื่องเสียงบำบัด
เค้ามีพูดถึงเสียงต่างๆ [เช่น อา อู โอ อี ฯลฯ] ว่ามันมีธรรมชาติของคลื่นเสียงที่แตกต่างกัน
ซึ่งส่งผลกระทบ หรือกระตุ้นประสาท อวัยวะ หรือจักระในร่างกายเราในแบบต่างๆ กัน
จำได้อยู่ตัวอย่างนึงคือเสียงคำว่าฉี่ อย่างเวลาทำเสียง ชี่ ชี่ กระตุ้นให้เด็กทารกฉี่
ก็เป็นเพราะคลื่นเสียงลักษณะนี้มันช่วยกระตุ้นร่างกายบริเวณกระเพาะปัสสาวะอะไรประมาณนั้นค่ะ
ในทางวิทยาศาสตร์การแพทย์
"โอม" เป็นเสียงที่เกิดจากการผสมจากเสียง 7 เสียง คือ
โอ อู อา เอ อี อือ อึม
ซึ่งจะส่งผลสั่นสะเทือนจักระ 6 จุดในร่างกาย
(ร่างกายมนุษย์มี 7 จักระ แต่อันนี้ยกเว้นจักระที่ 1 คือบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์กับทวารหนัก)
เสียง โอ และ อู แรงสั่นสะเทือนอยู่ที่ ท้อง
เสียงอา แรงสั่นสะเทือนอยู่ที่ หัวใจ
เสียง เอ สั่นสะเทือนที่คอ
เสียง อี สั่นสะเทือนที่หน้าผาก
เสียง อือ และ อึม สั่นสะเทือนที่จอมประสาท และทั่วศีรษะ
ดังนั้นเวลาที่เราเปล่งเสียงคำว่า โอมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม
ให้ออกมาจากท้อง จึงเป็นการบริหารจักระ หรือเป็นการบริหารระบบประสาทนั่นเอง
เรื่องนี้สัมพันธ์กับการที่ในบทสวดต่างๆ ซึ่งมีเสียงต่างๆ เหล่านี้อยู่
เวลาที่คนเรารู้สึกไม่สบายใจ เมื่อเปล่างเสียงบทสวดจึงเป็นการช่วยคลายความคับข้องหมองใจไปได้ในระดับหนึ่งได้ด้วยค่ะ
|